จากประสบการณ์ที่เป็นที่ปรึกษาและพัฒนาแบรนด์ต่างๆ มามากกว่ายี่สิบปี ดูแลแบรนด์มามากกว่าร้อยแบรนด์นั้น พบว่าแบรนด์ในประเทศไทยยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีกมาก และดัชนีที่สำคัญที่เห็นได้ว่าขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศเราไม่ก้าวไปข้างหน้าเป็นที่น่าพอใจเท่าไร และเศรษฐกิจเรา GDP ก็เติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงคุณค่าที่เรียกว่า "แบรนด์" หรือการสร้างแบรนด์ไทยไปสู่ Global Brand นั้น ยังน้อยมากครับ เรามีแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาแต่เราไม่มีแบรนด์อย่าง Nike, เรามีแบรนด์ผลิตเฟอร์นิเจอร์แต่เราไม่มีแบรนด์อย่าง IKEA
📊 ภาคธุรกิจเรายังแยกไม่ออกระหว่างการขาย, การตลาด และการสร้างแบรนด์ เราคาดหวังยอดขายมากจึงเน้นแต่การขาย แต่ยิ่งเน้นแต่การขาย กลับขายของไม่ค่อยได้ ขายของสู้คู่แข่งที่มีแบรนด์ที่แข็งแรงไม่ได้ การสร้างแบรนด์นี่ถือว่าเป็นความสำคัญในระดับสูง และยังเห็นธุรกิจไทยไปสู่จุดนั้นน้อยอยู่ คือ การสร้างแบรนด์องค์กร ที่สามารถสร้างแบรนด์จนเกินระดับไปมากกว่าแค่จุดเด่นของสินค้า, บุคลิกภาพแบรนด์ หรือคุณค่าทางอารมณ์ แต่ถ้าจะประสบความสำเร็จจริงๆ ต้องสร้างแบรนด์ให้ไปถึงระดับ “แบรนด์แห่งความศรัทธา”
ซึ่งการสร้างแบรนด์ไปสู่ระดับแบรนด์แห่งความศรัทธานั้นมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดงบประมาณหลายๆ ด้าน ที่ท่านจะมองไม่เห็น อาทิ งบการตลาดในการออกสินค้าใหม่, งบการวิจัยและพัฒนาสินค้า, งบการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น ที่สำคัญถ้าเรามีเป้าหมายไปสู่ Global Brand นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องทำให้ถึง สภาวะ “แบรนด์แห่งความศรัทธา” และสินค้าที่ท่านออกมาไม่ว่าจะเป็นอะไร ลูกค้าจะเปิดรับได้อย่างง่ายดาย และเข้าตลาดได้อย่างรวดเร็ว
การสร้างศรัทธา คือ การทำให้สาวกที่เป็นลูกค้าเราอยากทำตาม
เป็นแบบอย่างของเหล่าสาวกคนอื่นๆ แบรนด์จะเปลี่ยนสถานะจากการขายสินค้าทั่วไป กลายเป็นแบรนด์นั้นให้คุณค่าเชิงจิตวิญญาณ โดยแบรนด์นั้นๆ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ความเชื่อทางความคิด เป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาบางอย่างที่มีอิทธิพลต่อเหล่าสาวกแบรนด์อย่างมาก ซึ่งเหล่าสาวกจะเกิดสภาวะเชื่อมั่นจนหมดใจ ติดตาม ปกป้องแบรนด์ และทำให้สาวกแบรนด์รับแบรนด์นั้นๆ เข้ามาในชีวิตประจำวัน เป็นแบรนด์ผู้สร้างความหวัง และเป็นแบรนด์ที่รู้สึกว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจ
ทำไมต้องสร้างสาวกแบรนด์ในระดับศรัทธาในแบรนด์ ?
หลักการบริหารธุรกิจที่ถูกสอนมาทุกยุคสมัยคือ การเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน เพื่อหวังผลกำไร
นั่นแหละครับ! ใช่เลย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมต้องสร้างแบรนด์ไปสู่ระดับความศรัทธา ลองคิดภาพตามนะครับ การเติบโตในอนาคตขององค์กรคุณ ขึ้นกับการออกสินค้าใหม่ที่ต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ถ้าทุกครั้งที่คุณสร้างสินค้าใหม่ คุณก็มีโลโก้ใหม่ตลอด บอกได้เลยครับว่าต้นทุนการตลาด และการขายคุณบานปลายแน่นอน และนี่คือสภาพในปัจจุบันของธุรกิจในประเทศไทยครับ
สิ่งสำคัญคือ เราจะต้องทำให้ลูกค้าผูกพัน ภูมิใจจากคุณค่าที่เขาได้รับจากแบรนด์มากกว่าตัวสินค้า ซึ่งการได้รับคุณค่าเหล่านี้ ต้องทำให้แบรนด์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ ความศรัทธาบางอย่างที่มากกว่าแค่คุณสมบัติสินค้า หลักการนี้อธิบายได้ง่ายมาก จากวิธีการสร้างแบรนด์ของอุตสาหกรรมฟุตบอลในแถบยุโรป
ที่มารูป : https://www.arabianbusiness.com/
อาทิ ใครเป็นแฟนหงส์แดง เราจะศรัทธาในความเป็นเดอะ Corp ไม่ใช่แค่เชียร์ทีมไหนก็ได้ให้เป็นผู้ชนะ แต่แฟนคลับของหงส์แดงนั้น เราจะเชื่อมั่นในความเป็นสาวกของหงส์แดงไม่ว่าทีมจะแพ้หรือชนะ ก็ยังรัก และศรัทธาในแบรนด์หงส์แดงอยู่ สามารถเชื่อมต่อกันได้ทุกภาษา และทุกวัฒนธรรมเมื่อคุณเป็นแฟนหงส์แดง สินค้านอกจากค่าบัตรเข้าชมแล้ว เสื้อผ้า, กระติกน้ำ หรือ พิพิธภัณฑ์ ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ ก็สามารถขายได้หมด เพราะความศรัทธา และความเชื่อมั่นในความเป็นสาวกแบรนด์หงส์แดงนั่นเอง
ที่มารูป : https://www.antaranews.com/
อีกตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดคือ การสร้างแบรนด์ของ Apple ที่มาเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในตลาด แบรนด์ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกเพียงหนึ่งชั่วอายุคน ที่ต้องยกตัวอย่างแบรนด์นี้ เพราะเราจะเห็นได้ชัดเจน และจับต้องได้มากที่สุด ในการอธิบายการสร้างแบรนด์ไปสู่สภาวะที่เรียกว่า แบรนด์แห่งความศรัทธา
จากแคมเปญ Think Different ซึ่งเป็นแคมเปญการสื่อสารมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเชื่อ ความศรัทธาให้เหล่าสาวกแบรนด์ Apple กลับมาอีกครั้ง แคมเปญนี้เป็นแคมเปญแรกหลังจาก
สตีฟ จ็อบส์ กลับเข้ามาบริหาร Apple ในรอบที่สอง หลังจากที่โดนขับออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง
ผู้บริหารหลายๆ คนที่เข้ามาทำให้แบรนด์ Apple สูญเสียจิตวิญญาณตนเองทำหลายๆ อย่าง ที่กลายเป็นเหมือนบริษัทผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป แบรนด์หมดความเป็นตัวตนเลยทำให้ Apple ประสบปัญหามาโดยตลอด และในที่สุดต้องเชิญ สตีฟ จ็อบส์ กลับเข้ามาอีกครั้ง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทำไม สตีฟ จ็อบส์ จึงตัดสินใจใช้งบประมาณมหาศาลซึ่งตอนนั้นเงินของ Apple ไม่ได้มีมากมายอะไร เพื่อสื่อสารออกไปว่าแบรนด์ Apple เป็นแบรนด์ที่คิดแตกต่าง เราสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาเพื่อต้องการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น โดยในหนังโฆษณานั้นใช้นักประดิษฐ์ นักสร้างสรรค์ ผู้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล เป็นหนังโฆษณาที่ขัดใจผู้ถือหุ้นอย่างมาก ซึ่งผมคิดว่านักธุรกิจในประเทศไทยแทบไม่เคยเห็นใครกล้า และมีวิธีคิดแบบนี้ ส่วนมากหนังโฆษณาเน้นไปที่สินค้า แต่.... สตีฟ จ็อบส์ กลับเน้นไปที่ “การสร้างความเชื่อ ความศรัทธาในแบรนด์” เพื่อดึงสาวกเดิมให้กลับมารักแบรนด์ เชื่อมั่นในแบรนด์อีกครั้ง และก็ต้องบอกว่าด้วยแคมเปญนี้นั้นกลายเป็นการสื่อสารแบรนด์ในระดับตำนานไปเลยทีเดียวครับ
ผลลัพธ์ของการสร้างแบรนด์ไปที่ความศรัทธาของแบรนด์นั้น มันคือการสื่อสารในแบบ WHY มากกว่า WHAT โดยบอกเหตุผลของการมีแบรนด์นี้อยู่ แบรนด์นี้ดำรงอยู่เพื่ออะไร?
และเราทำให้โลกเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างไร?
เรามาสรุปช่วงท้ายของบทนี้นะครับว่า การสร้างแบรนด์ไปที่ระดับการสร้างศรัทธา จนลูกค้าเราศรัทธาในแบรนด์เรา นั้นแบรนด์เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ?
✅ 1. เแบรนด์เราจะพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ดีกว่าคู่แข่ง
✅ 2. แบรนด์เราสามารถขยายสินค้าได้กว้างขวางกว่า
✅ 3. แบรนด์เราจะสามารถลดต้นทุนการตลาดในระยะยาว
✅ 4. แบรนด์จะสร้างความ เชื่อมั่น เชื่อจนหมดใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของสาวก จนทำให้เกิดสภาวะอยากบอกต่อ ปกป้อง สนับสนุนและศรัทธาต่อไป
นี่แหละครับที่ผมบอกว่าเป็นสุดยอดเคล็ดลับวิชาการสร้างแบรนด์ที่ได้ผลและทำให้แบรนด์กลายเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธามากกว่าแค่สินค้าทั่วไปครับ
-----------------------------------------
ติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาด้านการพัฒนาแบรนด์ให้มีมูลค่าและทำให้ธุรกิจเติบโต ได้ที่
โทร. 063-3642492 (คุณโบว์)
อีเมล์ kanyarath.r@baramizi.co.th
#Branding #Marketing